สวัสดีครับ กลับมาอัพเดทบล็อกอีกครั้งหลังจากอัพเดทครั้งสุดท้ายไปเมื่อปลายปีที่แล้ว (ขยันมาก ครึ่งค่อนปีอัพเดทที) มาครั้งนี้มีเรื่องเล่าจากการเดินทางของผมครับ ค่อนข้างจะยาวนิดนึงนะครับ เรื่องก็มีอยู่ว่าเมื่อประมาณกลางปีที่แล้ว ผมกับแฟนมีแผนจะไปเที่ยวต่างประเทศกัน โดยเราวางแผนคร่าวๆ ว่าช่วงเวลาน่าจะเป็นประมาณเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม 2560 เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เรามีงานไม่แน่นมากนัก สามารถจัดเวลาเดินทางได้ยาวๆ แต่เราก็ไม่ค่อยชอบเดินทางกันแค่สองคนเพราะกลัวว่าจะเหงา แฟนก็เลยไปชวนเพื่อนมาร่วมเดินทางด้วยกันอีกสามคน จะได้สนุกๆ เฮฮากันได้
เมื่อได้สมาชิกร่วมก๊วนแล้ว เป้าหมายที่เราอยากไปกันคือ การขับรถท่องเที่ยวเกาะใต้ของประเทศนิวซีแลนด์ เพราะผมเคยไปอยู่ที่นั่นสี่เดือนตอนสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยภายใต้โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา ก็คิดว่าที่นั่นสวยดี เลยอยากพาแฟนไปเที่ยวที่นั่นด้วยกัน แต่แล้วก่อนที่เราจะได้จองตั๋วและที่พัก ที่เกาะใต้ของนิวซีแลนด์ก็มีข่าวแผ่นดินไหวรุนแรงเกิดขึ้น ทำให้เราต้องหยุดโครงการไปเที่ยวนิวซีแลนด์กันไว้ก่อนแล้วเปลี่ยนเป้าหมายกันใหม่ เราเลยตกลงกันว่าจะไปประเทศอื่นก่อนจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องแผ่นดินไหว และสุดท้ายก็มาลงเอยกันที่ประเทศสวิทเซอแลนด์แทน และจากการเปลี่ยนเป้าหมายทำให้เราได้สมาชิกเพิ่มอีกหนึ่งคนรวมกันเป็นหกคน
ในการเดินทางไปสวิสเซอแลนด์ของเราเปลี่ยนรูปแบบจากที่วางไว้ตอนแรกที่ว่าจะขับรถเที่ยวกันเป็นไปกับทัวร์แทน แต่อยากได้ทัวร์ที่เป็นกลุ่มเล็กๆ ไม่ใช่คณะใหญ่ และต้องเป็นทัวร์ท่ีเราจะได้สัมผัสสวิทเซอแลนด์ได้อย่างเต็มอิ่ม ไม่ใช่ชะโงกทัวร์แป๊ปๆ แล้วเดินทางต่ออะไรแบบนั้น เราก็เลยไปค้นหาข้อมูลของคนที่ทำทัวร์แบบที่เราอยากได้กัน และก็ไปเจอกับ Swiss Trip by Modx (https://www.facebook.com/modtrip/) ซึ่งคนจัดทริปเป็นคนไทยด้วย กลุ่มนึงประมาณ 14 คน ก็เลยตกลงกันว่าไปกับทริปนี้แหล่ะ ง่ายดี (รายละเอียดของทัวร์ดูได้จากเพจที่แปะลิงค์ไว้ได้เลยนะครับ) เราเลือกทริป Swiss Classic (เดินทางช่วง 19-27 พ.ค. 60) จะด้วยความบังเอิญหรืออะไรไม่ทราบ ผมมาทราบทีหลังว่าคุณมดที่เป็นคนจัดทริปเป็นเพื่อนของเพื่อนผมอีกที (โลกกลมจัง)
หลังจากจองทริป โอนเงินค่ามัดจำให้กับคุณมดแล้ว สิ่งที่เราต้องทำต่อไปก็คือการจองตั๋วเครื่องบินและการขอวีซ่าแบบเชงเก้น ในส่วนของการจองตั๋วเครื่องบินเรามีโจทย์คือต้องไปถึงซูริกในวันที่ 20 พฤษภาคม ไม่เกินบ่ายสามโมงครึ่ง ซึ่งก็เหลือตัวเลือกอยู่ประมาณ 2-3 สายการบิน หลังจากที่ปรึกษากันในกลุ่มแล้ว พวกเราเลยเลือกเดินทางด้วยสายการบินไทย ซึ่งบินตรงจากกรุงเทพไปซูริกเลยโดยไม่แวะพักหรือเปลี่ยนเครื่องที่ไหน โดยจะบินจากกรุงเทพตอนคืนวันที่ 19 (หรือตีหนึ่งวันที่ 20) และไปถึงซูริกในตอนเช้าของวันที่ 20 ประมาณ 7:50 ทำให้เรามีเวลา (คิดว่า) เหลือเฟือพอที่จะเที่ยวในซูริกได้ก่อนถึงเวลาที่คุณมดจะมารับที่สนามบิน
Day 1: วันเดินทางและน้ำตกไรน์
ผมกับแฟนอยู่ใกลสุด เราเลยต้องออกเดินทางตั้งแต่เย็นวันที่ 19 จากขอนแก่นกับเที่ยวบินไทยสไมล์ไฟลท์ประมาณเกือบสองทุ่มเพื่อไปสมทบกับเพื่อนๆ ที่สุวรรณภูมิ
นัดกันที่คิงพาวเวอร์เลาจ์ เมื่อครบองค์ประชุม เราก็พร้อมตะลุยสวิทเซอแลนด์กันแล้ว (Photo by Wilasinee)
หลังจากครบทีมแล้วเราก็เข้าเกตขึ้นเครื่องกันประมาณตีหนึ่ง (มันจะง่วงๆ หน่อย) แล้วก็หลับๆ ตื่นๆ กันไปประมาณเกือบๆ 12 ชั่วโมง
รู้ตัวอีกทีเราก็บินอยู่เหนือน่านฟ้ายุโรปแล้วครับ ในวันที่เราไปถึงเป็นวันที่ฟ้ามีเมฆปกคลุมเป็นหย่อมๆ ครับ ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้มีฝนตกในช่วงที่เราเที่ยวกัน
มองเห็นบางส่วนของเทือกเขาแอลป์
เรามาถึงสนามบินซูริกตามเวลาคือประมาณเกือบแปดโมงเช้า
หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองออกมา (มีหลงกันนิดหน่อย เพราะผมไปเข้าห้องน้ำเสร็จออกมา ปรากฏว่าสาวๆ หายไปหมดเลย ผมนึกว่าเค้าเสร็จกันหมดแล้วเลยไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองก่อน เพราะผมเข้าห้องน้ำนาน แต่จริงๆ แล้วสาวๆ ยังอยู่ในห้องน้ำกันอยู่เลย ผมเลยไปถึงตรวจคนเข้าเมืองก่อน แต่สุดท้ายก็มาเจอกันที่ทางออกตรวจคนเข้าเมืองอยู่ดี) เราก็ไปรับกระเป๋าแล้วก็ไปซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์กันเพื่อไม่ให้ขาดการติดต่อทางโซเชียล (ฮ่า ฮ่า) ซึ่งคุณมดแนะนำให้ซื้อที่ร้าน Salt ใช้อินเตอร์เน็ตไม่อั้นได้ 10 วัน ราคา 10 CHF สำหรับร้าน Salt ก็ตั้งอยู่ในสนามบินนั่นแหล่ะครับ หาไม่ยาก
หลังจากซื้อซิมการ์ดและ Activated กันเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปซื้อ Half Fare Card กันตามที่คุณมดแนะนำ ซึ่งตัว Half Fare Card นี้จะทำให้เรามีส่วนลดราคาตั๋วรถไฟลงครึ่งนึงในการเดินทางในสวิทเซอแลนด์ โดยมีอายุใช้งานประมาณ 1 เดือน เราไปซื้อ Half Fare Card กันที่ Swiss Travel System ที่ตั้งอยู่ในสนามบิน ราคา 120 CHF ซึ่งจริงๆ แล้วค่า Half Fare Card นี่รวมอยู่ในค่าทริปที่เราจ่ายให้คุณมดอยู่แล้ว แต่ที่ต้องมาซื้อเองเพราะเราจะใช้ขึ้นรถไฟเที่ยวกันก่อนที่จะถึงเวลาที่คุณมดมารับนั่นเอง ซี่งคุณมดก็จะหักออกจากค่าทริปที่เราจะจ่ายอีกที
การเดินทางในสวิทเซอแลนด์นั้นก็จะมีบัตรลดราคาให้เลือกสามแบบคือ Swiss Travel Pass, Swiss Transfer Ticket และ Swiss Half Fare Card ตามรายละเอียดด้านล่างนี้นะครับ สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมหรือเส้นทางที่เราจะใช้เดินทางครับ
หลังจากที่ซื้อ Half Fare card เสร็จแล้วเราก็เอากระเป๋าไปฝากในล็อกเกอร์ที่รับฝากในสนามบิน ซี่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับ Swiss Travel System ที่เราซื้อ Half Fare Card นั่นแหล่ะครับ สำหรับค่าล็อกเกอร์ฝากกระเป๋าก็เรตตามรายละเอียดด้านล่างนี้นะครับ พวกเราฝากกันไม่เกิน 12 ชั่วโมงในล็อกเกอร์ไซส์ใหญ่เลยต้องจ่ายประมาณ 9 CHF ต่อล็อกเกอร์ครับ เหรียญก็แลกเอาที่ Swiss Travel System ได้เลยครับ วิธีการก็ง่ายๆ เอากระเป๋าใส่ล็อกเกอร์ ปิดประตู หยอดเหรียญแล้วก็บิดกุญแจล็อก ถอดเอาลูกกุญแจออกไป แค่นั้นครับ
ตามแผนเดิมของเราคือ ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง เคลมกระเป๋า ซื้อ Half Fare card ซื้อซิมโทรศัพท์ และเอากระเป๋าไปฝากเสร็จน่าจะไม่เกินเก้าโมงเช้า พวกเราอยากไปเที่ยวที่ Stein am Rhein ซึ่งเป็นเมืองเก่ากันซักประมาณครึ่งชั่วโมง และนั่งรถไฟต่อไปที่ Schaffhausen เพื่อขึ้นไปเที่ยวบนหอคอยมูนอสซึ่งเป็นจุดชมเมือง เสร็จแล้วนั่งรถบัสต่อไปยังน้ำตกไรน์ ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายแล้วนั่งรถไฟกลับมาซูริกเพื่อพบกับคุณมดที่สนามบิน แต่เอาเข้าจริงๆ พอเครื่องลงที่สนามบินซูริก ปรากฏว่าช่วงเช้าเที่ยวบินค่อนข้างหนาแน่น ทำให้แถวตรงตรวจคนเข้าเมืองค่อนข้างยาวและใช้เวลาพอสมควร หลังจากนั้นออกมาซื้อซิมโทรศัพท์ก็ใช้เวลาในการ Activate ซิมการ์ดอีกพอสมควร กว่าจะเสร็จธุระกันก็เกือบสิบโมง ทำให้ต้องตัดโปรแกรมเหลือแค่น้ำตกไรน์อย่างเดียว ไม่งั้นกลับมาไม่ทันแน่ๆ เราซื้อตั๋วกันที่ Swiss Travel System พร้อมกับตอนที่ซื้อ Half Fare Card เลยครับ โดยนั่งรถไฟจากสนามบินซูริกสถานี Zurich Flughafen ชานชลาที่ 1 (Pl.1) ไปต่อรถที่สถานี Winterthur เพื่อไปลงรถที่สถานี Schloss Laufen am Rheinfall ใช้เวลาประมาณ 45 นาที เราซื้อตั๋วแบบ day trip ใช้ได้ทั้งวัน
สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟในสวิทเซอแลนด์สามารถให้แอป SBB Mobile เช็คตารางเดินรถได้ ซึ่งมีรายละเอียดให้เยอะทีเดียว และรถไฟที่นี่ค่อนข้างตรงเวลามากครับ
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เราก็เดินทางสู่น้ำตกไรน์กัน
เราไปถึงสถานี Schloss Laufen am Rheinfall ประมาณ 11 โมง ลงรถตรงแถวปราสาท Laufen ซึ่งมีจุดที่สามารถเดินลัดเลาะชมวิวน้ำตกได้หลายจุด
ภาพแรกที่เห็นน้ำตก รู้สึกว่ามันเป็นน้ำตกที่ใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก ดูใน google map หรือในรีวิวมันเหมือนไม่ใหญ่เท่าไหร่ แต่พอมาเห็นของจริง รู้สึกถึงความอลังการได้เลย น้ำก็ไหลแรงมาก อาจเป็นเพราะกำลังเข้าสู่ฤดูร้อนด้วย ทำให้น้ำแข็งหรือหิมะละลายลงมาเป็นน้ำค่อนข้างเยอะ
ไปยืนถ่ายรูปใกล้ๆ นี่ยิ่งรู้สึกได้ถึงความแรงของน้ำเลยครับ ละอองน้ำฟุ้งเต็มไปหมด
น้ำตกไรน์เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป มีอายุประมาณ 15,000 ปี ตั้งอยู่ระหว่างเขตแดนของ Zurich และ Schaffhausen ทางตอนเหนือของสวิทเซอแลนด์ มีความกว้างของน้ำตกประมาณ 150 เมตร ความสูง 23 เมตร และความลึกของแก่งประมาณ 13 เมตร ความแรงของน้ำตกจะขึ้นอยู่กับฤดูกาล ถ้าเป็นฤดูหนาวจะมีอัตราการไหลของน้ำเฉลี่ย 250,000 ลิตรต่อวินาที หรือต่ำสุดของอัตราการไหลของน้ำตกที่เคยวัดได้ในปี 1921 ประมาณ 95,000 ลิตรต่อวินาที แต่ถ้าเป็นฤดูร้อนที่หิมะและน้ำแข็งละลายก็จะมีมวลน้ำมหาศาลไหลผ่านน้ำตกแห่งนี้เฉลี่ยถึง 600,000 ลิตรต่อวินาที หรือสูงสุดที่เคยวัดได้ในปี 1965 อัตราการไหลสูงถึง 1,250,000 ลิตรต่อวินาที เลยทีเดียว
ปราสาท Laufen ตั้งอยู่เหนือน้ำตกขึ้นไปดังภาพนะครับ ส่วนน้ำตกใหญ่ขนาดไหนให้สังเกตจากขนาดของคนที่ยืนอยู่บริเวณฐานของโขดหินกลางน้ำตกนะครับ คนตัวเล็กนิดเดียวเอง ส่วนใครที่อยากไปสัมผัสน้ำตกแบบใกล้ ก็จะมีบริการเรือไปส่งถึงโขดหินกลางน้ำตกเลยนะครับ แล้วก็สามารถเดินขึ้นไปตามบันไดเพิ่มชมวิวที่จุดสูงสุดของโขดหินได้ แต่อาจต้องเปียกสักหน่อยนะครับ เพราะละอองน้ำเยอะมาก ในวันที่เราไปถึงเป็นวันเสาร์จึงมีนักท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษ เราเลยไม่ไปขึ้นชมวิวที่โขดหินกันครับ อีกอย่างไม่อยากเปียกด้วย
ปราสาท Laufen ตามบันทึกที่สามารถอ้างอิงได้เคยเป็นที่อยู่ของ Baron of Laufen ตั้งแต่ปี 858 หลังจากนั้นได้เปลี่ยนเจ้าของมาอีกหลายคน ผ่านสงคราม Old Zurich War และถูกยึดครองโดยครอบครัว Fulach ในช่วงปี 1439-1450 และมีการซื้อขายเปลี่ยนมือมาอีกหลายครั้ง จนกระทั่งเมืองซูริกได้ทำการซื้อปราสาทกลับคืนมาอีกครั้งในปี 1941 ในปัจจุบันปราสาทแห่งนี้ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่สนใจโดยมีทั้งส่วนที่บริการร้านอาหารและที่พักให้แก่นักท่องเที่ยว มีการขยายส่วนที่เป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและส่วนจัดนิทรรศการในบริเวณทิศเหนือของปราสาทในปี 2009-2010 อีกด้วย
หากต้องการข้ามแม่น้ำไรน์ไปอีกฝั่งหนึ่งก็มีเรือรับจ้างแล่นรับส่งข้ามฝั่งครับ ที่เห็นอีกฝั่งหนึ่งนั่นเป็นร้านอาหารครับ จะกินอยู่ที่ฝั่งปราสาทหรือข้ามไปกินที่อีกฝั่งนั่นก็ได้ครับ
หลังจากเดินลัดเลาะชมน้ำตกกันฝั่งปราสาทเสร็จแล้ว เราก็นั่งเรือข้ามฟากกันไปอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำไรน์ พอขึ้นฝั่งมาจะเป็นร้านอาหารพอดี เราก็นั่งกินมื้อกลางวันกันที่นี่
เมื่ออิ่มกันแล้วก็เดินถ่ายรูปกันต่ออีกครับ
เดินถ่ายรูปกันจนพอใจแล้วเราก็เดินข้ามแม่น้ำไรน์เรียบทางรถไฟกลับไปยังฝั่ง Schloss Laufen am Rheinfall เพื่อขึ้นรถไฟกลับไปสนามบินซูริกกัน
กลับมาถึงสนามบินซูริกกันประมาณสามโมงกว่าๆ ก็มาหาอะไรกินกันนิดหน่อยที่สนามบินระหว่างรอคุณมดมารับ ตอนขากลับมาสนามบินเกือบตกรถในตอนที่เปลี่ยนขบวนที่สถานี Winterthur เพราะหาชานชลาไม่เจอ เนื่องจากมีเวลาเปลี่ยนขบวนแค่ 7 นาที แต่ชานชลาที่เราต้องต่อขบวนรถนั้นต้องเดินลงชั้นใต้ดินลอดอุโมงค์ไปโผล่อีกด้านนึง ซึ่งแตกต่างจากขามาที่เราต้องเดินขึ้นบันไดข้ามรางรถไฟแล้วลงไปที่อีกชานชลาที่เราจะขึ้นรถ แต่เจ้าป้ายบอกทางไปอุโมงค์ที่เราต้องลอดไปอีกชานชลาดันติดไม่ค่อยชัด ดูแล้วงงๆ เลยใช้เวลากันหลายนาทีเดินหา พอเจอทางลงอุโมงค์นี่ต้องวิ่งกันเลยทีเดียว โดดขึ้นรถปุ๊ปรถไฟออกทันที เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ
เมื่อถึงเวลานัด คุณมดกับน้องมะลิลูกสาวก็มารับเราตามเวลา เราเดินทางโดยรถตู้ของ ModTrip จากสนามบินซูริกไปยังบ้านคุณมดที่ Grunenmatt ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งก็ถึงที่หมายกัน
นี่ไงครับบ้านคุณมด ซึ่งเราจะพักที่นี่กันเกือบตลอดทริป ยกเว้นวันที่ไป Zermatt ครับ บ้านน่ารักมากครับ ห้องพักเราอยู่ที่ชั้นสองของบ้าน สะอาด และสะดวกสบายดีครับ
หลังจากขนของเข้าห้อง แนะนำตัวในกลุ่มที่มาด้วยกัน และฟังคุณมดชี้แจงเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับทริปเสร็จ ก็ถึงเวลาอาหารเย็น ซึ่งคุณมดจะเป็นคนทำอาหารให้เรารับประทานกันสำหรับมื้อเช้าและมื้อเย็น เป็นอาหารไทยแบบง่ายๆ นะครับ เนื่องจากทริปนี้เน้นเที่ยว ไม่เน้นกินเท่าไหร่ พอจัดการกับอาหารเย็นเสร็จปรากฏว่าสองทุ่มพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน เราเลยไปเดินเล่นบนเนินในหมู่บ้านกันซักหน่อย อากาศกำลังเย็นสบายเลย หลังจากนั้นก็กลับมาอาบน้ำนอนเอาแรงกัน เพราะวันรุ่งขึ้นคุณมดบอกว่าเราจะขึ้น Jungfrau กัน
Day 2: Jungfraujoch – Top of Europe
ตามแผนเดิมเราไม่ได้ขึ้น Jungfrau กันในวันนี้ แต่เมื่อดูพยากรณ์อากาศแล้ววันนี้เป็นวันอากาศดี ฟ้าเปิด คุณมดเลยเปลี่ยนโปรแกรมให้เราขึ้น Jungfrau กันวันนี้เพื่อจะได้ถ่ายรูปกันได้สวย (ทริปของคุณมดจะค่อนข้างยืดหยุ่นนะครับ ตามความเหมาะสมของสภาพอากาศ อันนี้ผมชอบมาก)
ในวันนี้เราเร่ิมกันแต่เช้าหน่อย เพราะต้องไปให้ทันรถไฟเที่ยวเที่ยวแรกๆ คนจะได้ไม่เยอะ เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์วันที่ทั้งนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นและคนสวิสเองออกมาเที่ยวกัน เช้านี้เราได้พบกับคุณสเตฟาน แฟนคุณมด ผู้ซึ่งจะพาเรานั่งรถไฟไต่เขาขึ้นสู่ Jungfraujoch
เราเริ่มเดินทางกันแต่เช้าออกจากบ้านคุณมดที่ Grunenmatt เพื่อไปขึ้นรถไฟสาย Bernese Oberland ที่ Zweilutschinen โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที ระยะทางประมาณ 75 กิโลเมตร
ออกเดินทางกันแต่เช้า แต่แดดก็ออกแล้วครับสำหรับที่สวิทเซอแลนด์ วิวข้างทางก็สวยงามตลอดเส้นทาง
Cr. Photo by Saowaree
ระหว่างทางเราได้ผ่านทะเลสาป Thun ด้วยครับ สวยมากแต่น่าเสียดายที่เราไม่มีโปรแกรมแวะที่นี่เพราะต้องรีบไปให้ทันเที่ยวรถไฟ แต่คุณสเตฟานเล่าว่าถ้าเป็นโปรแกรมเที่ยวแบบปั่นจักรยาน จะมีมาปั่นเลียบทะเลสาปแห่งนี้ด้วย
เราไปถึงสถานี Zweilutschinen ก่อนเวลารถไฟมาถึง พอมีเวลาเข้าห้องน้ำ ถ่ายรูปเล่นกันรอบๆ สถานีรถไฟกันสักพัก รถไฟก็มา
ถ่ายรูปกับรถไฟซักหน่อยก่อนเดินทาง
เมื่อพร้อมแล้วก็ไปกันเลย
ขบวนรถไฟที่เรานั่งจะเริ่มจากสถานี Zweilutschinenนั่งเป็นระยะทางสั้นๆ แล้วไปเปลี่ยนขบวนที่สถานี Lauterbrunnen หลังจากนั้นนั่งยาวไปจนถึงสถานี Kleine Scheidegg เพื่อเปลี่ยนขบวนอีกครั้งเพื่อขึ้นสู่ Jungfraujoch
Cr. Photo by Wilasinee
ถ่ายรูปกันระหว่างรอเปลี่ยนขบวนรถไฟที่สถานี Kleine Scheidegg
ขบวนรถไฟไต่เขา Jungfrau นี้เริ่มวางแผนการก่อสร้างตั้งแต่เดือนมิถุนายน 1893 และเริ่มก่อสร้างจริงในเดือนกรกฎาคม 1896 เสร็จสิ้นเปิดให้บริการครั้งแรกสำหรับสถานี Jungfraujoch ในวันที่ 1 สิงหาคม 1912 ซึ่งถือเป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรปกับระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 3,454 เมตร จึงเป็นที่มาของคำว่า Top of Europe โดยทางรถไฟสายนี้ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างนาน 16 ปี ใช้งบประมารในการก่อสร้างมากถึง 16 ล้านฟรังส์ สำหรับประวัติแบบละเอียดอ่านได้จากข้างล่างนี้นะครับ
เรานั่งเพลิดเพลินชมวิวอันสวยงามระหว่างที่รถไฟใต่เขาขึ้นสู่ Jungfrau ซึ่งต้องผ่าน Lauterbrunen และ Wengen อ่อถ้าใครเลือกเส้นทางรถไฟแบบเดียวกับที่เราไปกัน แนะนำให้เลือกที่นั่งทางด้านขวามือของรถไฟนะครับ จะได้ดูวิวสวยๆ มากกว่าด้านซ้ายมือ
เมื่อเราไปถึง Jungfrau ก็จะมีทางเดินเข้าสู่อาคารที่รองรับนักท่องเที่ยวซึ่งก็จะมีจุดที่ให้เดินเที่ยวตามรูปภาพด้านบนนะครับ
จุดแรกเลยก็ไปชมวิว 360 องศา ตรง Jungfrau Panorama กันก่อนเลย วิวสวยมากๆ ครับ
หลังจากนั้นก็ขึ้นลิฟท์กันไปที่ Sphinx Terrace ซึ่งทำเป็นระเบียงยื่นออกไปให้เราได้ออกไปยืนชมวิวรอบอาคารพร้อมสัมผัสอากาศหนาวไปพร้อมกัน
ถึงแม้ว่าบนยอดเขาจะยังคงมีหิมะ แต่เมื่อมองลงไปด้านล่างจะเห็นได้ว่าหิมะละลายไปค่อนข้างเยอะแล้ว ต้นไม้และพืชพรรณต่างๆ เริ่มแตกใบเขียวสดใส เนื่องจากใกล้เข้าสู่ฤดูร้อนเต็มที
ส่วนจุดที่ห้า Aletsch Glacier ที่เป็นลานเล่นกิจกรรมหิมะทั้ง Sledge park, Zip line และลานสกี ซึ่งจะเปิดให้บริการช่วงเดือน พฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม นั้นเราไม่ได้ลงไปเล่นกันครับ ได้แต่ยืนดูอยู่ไกลๆ
หลังจากนั้นเราก็ไปเดินเล่นกันในถ้ำน้ำแข็งกันเลยครับ ในถ้ำอากาศก็ค่อนข้างเย็นพอสมควร
เฮ้ย!!! ตัวนี้คุ้นๆ นะ 5555
Cr. Photo by Saowaree
คุ้มค่ากับการมาเยือนจริงๆ เมื่อได้มาเห็นวิวของ Jungfrau อยู่ตรงหน้าแบบนี้
สนุกสนานกันตรงส่วนของ Glacier Plateau มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปหลายมุมเลยครับ แต่ในวันที่เราไปเป็นวันเสาร์ จึงมีนักท่องเที่ยวเยอะมากทั้งนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นและคนสวีสเองก็ออกมาเที่ยวด้วย ทำให้ภายในอาคารและลานหิมะคับคั่งไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะคนอินเดียและคนจีนมาท่องเที่ยวที่นี่เยอะมาก ต้องแย่งมุมถ่ายรูปกันพอสมควร ยิ่งช่วงสายๆ คนยิ่งเยอะ ถ้าอยู่ในอาคารนี่จะรู้สึกอึดอัดหน่อย ออกซิเจนย่ิงเบาบางเพราะเป็นที่สูงอยู่แล้ว พอคนเยอะๆ อีกนี่หายใจกันไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่เลยครับ คุณมดและคุณสเตฟานแนะนำว่าถ้ารู้สึกมีอาการไม่ค่อยดีให้ออกมาอยู่ในที่โล่งๆ ดีกว่า แล้วก็พยายามเคลื่อนไหวช้าๆ ไม่ต้องเร่งรีบ แต่พอออกมาที่ลานหิมะ ก็เป็นอย่างที่เห็นในภาพนี่แหล่ะครับท่านผู้ชม
อีกจุดหนึ่งบน Glacier Plateau ที่นักท่องเที่ยวต้องมาถ่ายภาพกันก็คือตรงธงชาติสวิทเซอแลนด์นี่แหล่ะครับ ว่ากันว่าธงชาติสวีสนี้ถูกชักขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1912 ซึ่งเป็นปีแรกที่มีการให้บริการรถไฟไต่เขาสาย Jungfrau นั่นเอง
หลังจากถ่ายรูปกันที่ลานหิมะจนพอใจกันแล้ว เราก็กลับเข้าไปในอาคารเพื่อหาอะไรกินกัน ซึ่งภายในอาคารจะมีร้านอาหารบริการอยู่ครับ กินกันแบบง่ายๆ ไม่ได้มีเมนูพิเศษอะไร แต่ต้องแย่งที่นั่งกันหน่อยเพราะอย่างที่บอกไปว่ามีนักท่องเที่ยวเยอะมาก
เรานัดเจอกับคุณสเตฟานตอนบ่ายสามตรงบริเวณทางออกของอาคาร หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟจาก Jungfrau ลงไปที่สถานี Kleine Scheidegg แต่เราจะไม่ย้อนกลับไปทางเดิมเหมือนตอนขาขึ้นมา เราจะลงอีกทางหนึ่งคือนั่งรถไฟจากสถานี Kleine Scheidegg ลงไปที่ Grindelwald แล้วเปลี่ยนขบวนกลับไปยัง Zweilutschinen
Cr. Photo by Saowaree
Cr. Photo by Saowaree
Grindelwald เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,034 เมตร ในส่วนของเทือกเขา Bernese Alps ธุรกิจท่องเที่ยวในเขต Grindelwald นี้เริ่มต้นเมื่อราวปลายศตวรรษที่ 18 เมื่อมีนักท่องเที่ยวค้นพบหมู่บ้านแห่งนี้และได้ถ่ายภาพทิวทัศน์ที่สวยงามของที่นี่นำออกไปเผยแพร่ต่อสายตาชาวโลก ทำให้มีนักท่องเที่ยวอยากมาเที่ยวชมหมู่บ้านแห่งนี้สักครั้งในชีวิต ในปัจจุบันธุรกิจหลักของหมู่บ้านแห่งนี้จึงเป็นธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งที่นี่จะมีบริการบ้านพักแบบสกีรีสอร์ทไว้บริการนักท่องเที่ยว มีกิจกรรมกลางแจ้งให้เล่นมากมายทั้ง การเดินป่า ปีนเขา ปั่นจักรยาน สกี และกีฬาผาดโผนอีกหลายชนิด แต่ในครั้งนี้เราไม่ได้ใช้เวลาที่นี่มากนัก แค่มาเปลี่ยนขบวนรถไฟและชมวิวนิดหน่อยเท่านั้น
Cr. Photo by Saowaree
หลังจากที่เราลงมาถึงสถานี Zweilutschinen เรียบร้อยแล้ว เราก็ขึ้นรถตู้เพื่อเดินทางกลับ Grunenmatt กัน แต่ในระหว่างทางกลับ เนื่องจากในตอนขามาในตอนเช้าคุณสเตฟานได้ชี้ให้ดูไร่สตอเบอรีที่อยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวพอดี ตอนขากลับคุณสเตฟานก็เลยชวนแวะไร่สตอเบอรีกันก่อน
ได้กันไปคนละแพ็คสองแพ็ค โดยเข้าไปซื้อในไร่เลย เค้าจะเอาสตอเบอรีบรรจุใส่กล่องวางไว้ เราก็ไปเดินเลือกเอากล่องที่ต้องการแล้วก็เอาตังค์ไปหยอดไว้ในกระปุกที่เค้าตั้งเอาไว้ ไม่มีคนมาคอยเก็บตังค์หรือทอนตังค์ครับ ผลเลยถามคุณสเตฟานว่าอย่างนี้ไม่มีคนโกงเอาไปกินเฉยๆ เหรอ คุณสเตฟานบอกว่าเกิดขึ้นน้อยมากครับ ส่วนใหญ่ก็จะจ่ายกันแบบซื่อสัตย์ไม่โกงกัน
สตอเบอรีลูกใหญ่สด หวานอร่อยมากครับ
หลังจากได้สตอเบอรีแล้วเราก็มุ่งหน้ากลับที่พักกัน หลังกินข้าวเสร็จทุกคนก็แยกย้ายกันเข้านอนอย่างรวดเร็ว เพราะว่าใช้พลังงานกันไปเยอะ และยังไม่คุ้นชินกับเวลาที่สวิทเซอแลนด์กันด้วย
Day 3: Zermatt Matterhorn
วันที่ 3 ของการเดินทาง เนื่องจากอากาศดีต่อเนื่องเราก็เลยจะไปนั่งรถไฟใต่เขากันอีกครั้งท่ีเมือง Zermatt โดยเราจะไปดู Matterhorn กัน และเนื่องจากระยะทางค่อนข้างใกล เราจึงต้องออกเดินทางกันค่อนข้างเช้าเหมือนเมื่อวานและเราจะไปค้างคืนกันที Zermatt ด้วย
เราจะต้องเดินทางจากบ้านคุณมดไปยัง Tasch แล้วจอดรถกันไว้ที่นั่น เนื่องจากเมือง Zermatt ไม่อนุญาตให้รถยนต์ที่เป็นเครื่องยนต์ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปวิ่งที่นั่น อนุญาตให้เฉพาะรถระบบไฟฟ้าเท่านั้นที่วิ่งได้ ยกเว้นในช่วง low season ที่ต้องมีการบูรณะซ่อมแซมหรือก่อสร้างอาคารและต้องอาศัยรถบรรทุกวัสดุก่อสร้างต่างๆ เข้าไปได้ แต่ต้องมีการขออนุญาตก่อน ซึ่งก็เป็นการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมที่ดีครับ ดังนั้นจาก Tasch เราต้องนั่งรถไฟเข้าไป
ในระว่างทางไป Tasch เราต้องผ่าน Goppenstein ซึ่งรถต้องเอารถขึ้นไปบนรถไฟแล้วรถไฟก็แล่นเข้าอุโมงค์ทะลุภูเขาออกไปอีกด้านหนี่งที่เรียกว่า Kandersteg ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ก็เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ดีครับ เคยแต่เอารถขึ้นเรือเฟอรี่ รอบนี้เอาขึ้นรถไฟก็ได้ประสบการณ์สนุกไปอีกแบบ
ขับรถขึ้นไปจอดบนรถไฟแบบนี้เลยครับ แล้วรถไฟก็วิ่งไปเรื่อยๆ
พอถึงปลายทางก็ขับลงแล้วเดินทางกันต่อได้
เราไปถึง Tasch กันตอนสายๆ หลังจากขนของกันลงจากรถเสร็จนั่งรอสักครู่ เราก็เดินทางกันต่อไปที่ Zermatt ด้วยรถไฟ Zermatt shuttle trains Tasch-Zermatt พอถึง Zermatt คุณมดก็แยกตัวไปเพื่อจัดการเรื่องโรงแรมให้พวกเรา ส่วนคุณสเตฟานก็พาพวกเรานั่งรถไฟใต่เขากันต่อเพื่อไปดู Matterhorn กัน
โดยรถไฟที่เรานั่งขึ้นไปดู Matterhorn ก็คือรถไฟสาย Matterhorn Gotthard Bahn รถไฟพาเราลัดเลาะใต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ ช่วงแรกๆ ก็จะเป็นวิวป่าสนโปร่งๆ
ย่ิงสูงขึ้นไปวิวก็ยิ่งสวย หิมะเต็มไปหมด
Cr. Photo by Saowaree
มองเห็น Matterhorn กันแต่ไกล
วิวสวยงามตลอดสองข้างทางรถไฟ
ถ่ายรูปกันสนุกสนานตั้งแต่บนรถไฟเพราะที่นี่นักท่องเที่ยวไม่เยอะเหมือน Jungfrau
ใช้เวลาไม่นานนักเราก็มาถึงจุดหมายปลายทาง
ถ่ายรูปหมู่กับ Matterhorn กันซักหน่อยก่อนแยกย้ายไปเดินเที่ยว
Matterhorn เป็นยอดเขาที่เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ ตั้งอยู่บนสันเขาระหว่างชายแดนสวิทเซอแลนด์และอิตาลี มีรูปทรงคล้ายยอดปิรามิด มีความสูงประมาณ 4,478 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งยอด Matterhorn นี้ได้ถูกนำไปใช้เป็นโลโก้ของช็อคโกแลตยี่ห้อที่เราคุ้นเคยกันดี ซึ่งก็คือ TOBLERONE นั่นเอง ถ้าใครไปเที่ยวที่นี่บางทีจะเห็นฝรั่งถือช็อคโกแลตยี่ห้อนี้ไปถ่ายรูปคู่กับ Matterhorn ก็ได้นะครับ
หลังจากกินมื้อกลางวันกันเสร็จ เราก็เดินเล่นรอบๆ อาคารเพื่อถ่ายรูปเล่นกัน ซึ่งวันนี้ท้องฟ้าสดใสเหมาะกับการถ่ายรูปมากครับ
หลังจากที่เดินเที่ยวถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้ว เราก็กลับไปที่ชานชลาตามที่นัดกับคุณเสตฟานไว้ เพื่อขึ้นรถไฟกลับลงไปยัง Zermatt
พอกลับลงมาถึง Zermatt คุณมดก็มารอพวกเราอยู่ที่สถานีรถไฟและพาพวกเราไปที่โรงแรมเพื่อเช็คอินกัน หลังจากพักผ่อนกันเล็กน้อยให้หายเพลีย เราก็ออกมาเดินเล่นสำรวจเมือง Zermatt กันซะหน่อย ซึ่งเมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ สามารถเดินสำรวจได้ทั่วในเวลาไม่นาน ส่วนใหญ่เป็นสกีรีสอร์ท และมีร้านค้า ร้านของกินอยู่พอสมควร
ที่เมือง Zermatt นี้มีร้านขายช็อคโกแลตของ Lindt ด้วยนะครับ ช็อคโกแลต Lindt เป็นช็อคโกแลตยี่ห้อเก่าแก่ของสวิทเซอแลนด์มีสโลแกนว่า melt-in-the-mouth ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1879 โดย Rodolphe Lindt ว่ากันว่าสูตรลับละลายในปากนี้ในช่วงแรกนั้น Lindt นั้นใช้ความพยายามอย่างมากในการคิดสูตรลับนี้ออกมาให้ได้แต่ก็ไม่สำเร็จสักที จนวันหนึ่งในช่วงปลายสัปดาห์เค้าได้ออกจากโรงงานไปด้วยความรีบร้อนทำให้ลืมปิดเครื่องจักรที่กำลังคนช็อคโกแลตอยู่ เครื่องจักรจึงคนช็อคโกแลตอยู่อย่างนั้นตลอดช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เมื่อเขากลับมาที่โรงงานอีกครั้งในวันจันทร์ก็ถึงกับช็อคเมื่อพบว่าเครื่องจักรได้กวนช็อคโกแลตจนไหม้เป็นก้อนแข็ง แต่ช็อคโกแลตมีความมันวาวและกลิ่นที่ดีมากๆ เขาจึงได้ลองชิมดูและเค้าก็เป็นคนแรกที่ได้สัมผัสประสบการณ์ของ melt-in-the-mouth ความรู้สึกของเค้าเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดเลยทีเดียว (ในประวัติเค้าเขียนแบบนี้จริงๆ นะ)
ในร้านก็จะมีช็อคโกแลตให้เลือกอย่างหลากหลายรสชาติและรูปทรง และแน่นอนทุกคนก็ได้ติดไม้ติดมือกันไปเป็นของฝากพอสมควร
อันนี้เป็นรถระบบไฟฟ้าที่ได้รับอนุญาติให้ขับในเมืองนี้ได้เท่านั้นครับ
มีโบสถ์เก่าอยู่โบสถ์นึง ผมจำไม่ได้ว่าเค้าว่าเรียกว่าอะไร
ในเมือง Zermatt นี้จะมีจุดชมวิว Matterhorn อีกจุดนึง อยู่เลยโบสถ์ลงมาหน่อยนึงเป็นจุดที่เป็นสะพานข้ามลำธารเล็กๆ สามารถมองเห็น Matterhorn ได้ในอีกบรรยากาศนึงซึ่งแตกต่างไปจากที่เราขึ้นไปดูเมื่อตอนกลางวัน
พวกเราก็มารอดู Matterhorn กันตอนพระอาทิตย์ตก ซึ่งว่ากันว่าถ้าโชคดีจะได้เห็น Matterhorn สะท้อนแสงอาทิตย์ตอนเย็นเป็นสีออกม่วงๆ
แต่บังเอิญว่าพวกเราโชคไม่ดีนักเพราะพระอาทิตย์ตกไปแบบสีชืดๆ มากๆ T__T
หลังจากผิดหวังจากพระอาทิตย์ตกเราก็ไปหาอะไรใส่ท้องกัน สุดท้ายมาจบกันที่พิซซ่าครับ
ช็อป Rolex ก็มีนะครับ แต่ได้แต่มองครับ ไม่มีตังค์ซื้อ 555 (Photo by Jo Muay Jan)
ตอนเช้าผมรีบตื่นแต่เช้าเพราะเมื่อวานผิดหวังกับพระอาทิตย์ตก เลยอยากมาลองใหม่กับตอนพระอาทิตย์ขึ้นดูบ้าง และคราวนี้สมหวังดังตั้งใจเลยครับ ท้องฟ้าเป็นสีชมพูสะท้อนกับหิมะบนยอด Matterhorn สวยงามอย่างกับภาพวาดเลยครับ ใครได้มาที่นี่อย่าพลาดเชียวนะครับ ตื่นเช้าหน่อย แต่คุ้มค่าแน่นอน
หลังจากถ่ายรูปเสร็จเราก็เดินเล่นกันต่อนิดหน่อย อากาศเย็นกำลังดี สดชื่นมากๆ ครับ เป็นเมืองที่สงบและไม่วุ่นวายเลยครับ ผมชองเมืองนี้ที่สุดในทริปนี้เลยครับ
Day 4: Blausee / Trummelbach / Interlaken
วันนี้เราจะเดินทางจาก Zermatt กลับไปบ้านคุณมดกันครับ โดยระหว่างทางเราจะแวะเที่ยวกัน 2-3 ที่ครับ เราต้องนั่งรถไฟจาก Zermatt กลับไปยัง Tasch เพื่อขึ้นรถตู้ของ Modtrip กลับกัน เราจะแวะเที่ยวกันจุดแรกคือ Blausee (เบลาเซ) ซึ่งเป็นทะเลสาปสีฟ้า ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ กับระยะทาง 74 กิโลเมตร
เราไปถึง Blausee กันประมาณก่อนเที่ยง ซึ่งจากลานจอดรถจะมีระยะทางสั้นๆ ให้เดินเข้าไปยังทะเลสาป โดยทีสองทางเลือกคือเดินไปตามถนนปกติ กับทางลัดเลาะในป่าเพื่อชมธรรมชาติ พวกเราก็เลยเลือกเส้นทางแบบลัดเลาะในป่าเพื่อชมความสมบูรณ์ของผืนป่ารอบๆ ทะเลสาป
ธรรมชาติค่อนข้างสมบูรณ์มากๆ มอส เฟิร์น เกาะตามหิน ตามต้นไม้เต็มไปหมด
เฟิร์นเกาะตามต้นไม้เกือบทุกต้นเลยครับ
เราใช้เวลาไม่นานนักก็เดินมาถึงทะเลสาปเล็กๆ น้ำเป็นสีฟ้าสวยงามตัดกับความเขียวขจีของต้นไม้ที่อยู่รอบๆ สวยงามมากครับ
ใครที่อยากสัมผัสบรรยากาศของทะเลสาปอย่างใกล้ชิด ก็จะมีเรือพายบริการนั่งชมวิวในทะเลสาปด้วยนะครับ
ข้างๆ ทะเลสาปมีลำธารเล็กๆ อยู่ น้ำใสมากครับ
Blausee เป็นทะเลสาปเล็กๆ มีพื้นที่ประมาณ 0.64 เฮกตาร์ หรือประมาณ 4 ไร่ อยู่ใน Kander valley น้ำใสมาก โดยทะเลสาปแห่งนี้เกิดจาก landslide เมื่อ 15,000 ปีที่แล้ว และน้ำที่ใสมากๆ นี้เกิดจากน้ำพุที่อยู่ใต้ทะเลสาปซึ่งทำให้อุณหภูมิของน้ำในทะเลสาปค่อนข้างคงที่ตลอดทั้งปี ซึ่งเหมาะกับการเลี้ยงปลาเทร้าท์อย่างยิ่ง และที่ Blausee นี้ก็เป็นแหล่งเลี้ยงปลาเทร้าท์คุณภาพดีที่หนึ่งด้วย
เอ๊ะ! เค้าหยุดดูอะไรกันอยู่บนสะพานนั่น ขึ้นไปดูมั่งดีกว่า
อ่อ เค้าหยุดดูรูปปั้นหินเป็นรูปหญิงสาวที่อยู่ในน้ำนั่นเอง อันนี้เป็นกิมมิกเล็กๆ ของที่นี่นะครับ เป็นเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งกับคนรัก เรื่องมีอยู่ว่า นานมาแล้วทะเลสาปแห่งนี้ก็มีลักษณะเหมือนทะเลสาปทั่วๆ ไป ไม่มีอะไรพิเศษ และมีหญิงสาวคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ ทะเลสาปแห่งนี้ วันหนึ่งเธอได้ตกหลุมรักกับชายเลี้ยงแกะคนหนึ่ง และทั้งคู่มักจะหาเวลามาพายเรือพรอดรักกันที่ทะเลสาปแห่งนี้อยู่เสมอๆ ภายใต้แสงจันทร์ที่แสนจะโรแมนติก อยู่มาวันหนึ่งคนรักของเธอได้พลัดตกหน้าผาเสียชีวิต หญิงสาวเศร้าโศกและเสียใจมาก เธอไม่อาจทำใจกับการสูญเสียคนรักของเธอได้ คืนแล้วคืนเล่าหญิงสาวได้พายเรือออกไปกลางทะเลสาปเพื่ออาลัยอาวรณ์ต่อการจากไปของชายอันเป็นที่รักของเธอ
เช้าวันหนึ่ง พ่อแม่ของเธอพบว่าลูกสาวได้จมน้ำเสียชีวิตและเรือของเธอก็ได้จมลงสู่ก้นทะเลสาป ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา น้ำในทะเลสาปก็ได้เปลี่ยนเป็นสีฟ้าตามสีของนัยตาของหญิงสาวผู้สูญเสียคนรักไปนั่นเอง
ที่ Blausee นี้มีโรงแรมและร้านอาหารด้วยนะครับและแน่นอนเมนูที่ขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือปลาเทร้าท์นั่นเอง แต่อาหารที่นี้ค่อนข้างเสริฟ์ช้านะครับ ใครที่มีเวลาไม่มากแล้วไปช่วงที่คนเยอะๆ อย่างตอนเที่ยงนี่ สั่งเสร็จ ไปเดินเล่นรอบๆ ทะเลสาปก่อนได้ แล้วค่อยกลับมากิน ยังดีกว่านั่งรอกินเสร็จแล้วไปเดินนะครับ
ถึงปลาเทร้าส์จะเป็นของขึ้นชื่อที่นี่แต่ผมดันสั่งแกะมากินซะงั้น 55555
อ่อ อีกอย่างนะครับ หลังจ่ายค่าอาหารเสร็จทางร้านอาหารก็จะให้ตั๋วสำหรับเข้าฟรีในครั้งต่อไปด้วยนะครับ สำหรับคนที่วางแผนจะกลับมาใหม่หรือให้เพื่อนที่จะมาในรอบถัดไป แต่เราคงไม่ได้กลับมาใหม่ในเวลาอันใกล้ก็เลยมอบให้คุณสเตฟานไปครับ
Cr. Photo by Saowaree
อันนี้ไม่ใช่สาวผู้มีนัยตาสีฟ้ามารอคอยคนรักนะครับ แต่เป็นน้องออยผู้กำลังเหม่อมองฝรั่งอยู่ 55555
หลังจากเราออกจาก Blausee ก็มุ่งหน้ากันไปเที่ยวน้ำตก Trummelbach ซึ่งอยู่ห่างจาก Blausee ประมาณ 51 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางกันประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง
Trummelbach เป็นน้ำตกที่เกิดจากการละลายของหิมะและน้ำแข็งจาก Jungfrau ไหลลงมาตามซอกและถ้ำในภูเขา ซึ่งมีปริมาณการไหลของน้ำมากถึง 20,000 ลิตรต่อนาทีเลยทีเดียว
น้ำตกไหลแรงและมีเสียงดังคล้ายฟ้าร้องตลอดเวลา
ชั้นบนสุดที่เข้าไปดูได้จะเป็นแอ่งคล้ายอ่างจากุซชี่ (คุณสเตฟานได้กล่าวไว้)
แต่ที่ผมชอบมากคือตอนที่ดูน้ำตกที่ชั้นบนสุดเสร็จแล้วเดินออกมาเพื่อลงบันไดกลับลงมาด้านล่างจะมองเห็นหมู่บ้านที่อยู่ด้านล่างกลางทุ่งหญ้าเขียวและมีหน้าผาขนาดใหญ่อยู่ด้านหลัง เป็นวิวที่สวยมากครับ
ระหว่างเดินลงจากน้ำตกก็มาเจอเจ้าตัวนี้ยืนเก็กท่าให้ถ่ายรูปอยู่ริมหน้าผาด้วย ไม่รู้ว่าใช่แพะภูเขามั้ย
ลงมาถึงด้านล่างก็เป็นลานหญ้าเขียวๆ ที่กำลังออกดอกสวยงามเลยครับ
วิวสวยๆ อย่างนี้ก็ต้องถ่ายรูปเล่นกันหน่อย
เที่ยวน้ำตกกันเสร็จก่อนกลับไปบ้านคุณมด เราก็แวะพักผ่อนและช้อปปิ้งกันเล็กน้อยที่เมือง Interlaken ซึ่งชื่อก็บ่งบอกอยู่แล้วนะครับ Interlaken มาจากคำว่า Inter-Lake หรือคั่นกลางระหว่างทะเลสาปสองทะเลสาป ใช้เวลาเดินทางสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจากน้ำตก
Interlaken เป็นเมืองที่ตั้งคั่นกลางระหว่างทะเลสาปสองแห่งคือทะเลสาป Thun (ฝั่งตะวันตก) และ Brienz (ฝั่งตะวันออก) มีแม่น้ำไหลเส้นเล็กๆ ไหลเชื่อมกันระหว่างสองทะเลสาปเป็นสีฟ้าสวยงาม
นั่งพักเหนื่อยกันกันริมแม่น้ำหน่อยหลังจากไปเดินมาทั้งทะเลสาปและน้ำตก อ่อ ใครมาสวิสอย่าลืมมาชิมโอวัลตินของที่นี่นะครับ รสชาติกลมกล่อม
ช้อปปิ้งเดินเที่ยวกันที่ Interlaken เสร็จเราก็เดินทางกลับไปบ้านคุณมดที่ Grunenmatt
Day 5: Lucerne / Mt. Rigi
วันนี้เราจะเดินทางไปยังเมือง Lucerne ระยะทางประมาณ 67 กิโลเมตร แล้วนั่งเรือกันต่อเพื่อไปนั่งรถไฟไต่เขาอีกสายหนึ่งสู่ Mt. Rigi ใช้เวลาเดินทางจากบ้านคุณมดประมาณชั่วโมงนิดๆ
จุดแรกเมื่อเรามาถึง Lucerne เลยก็คืออนุเสาวรีย์สิงโต (Lion Monument หรือ Lion of Lucerne) ซึ่งใครมา Lucerne ก็ต้องมาที่นี่กันเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก โดยอนุเสาวรีย์สิงโตนี้เป็นตัวแทนของทหารสวิสผู้ปกป้องปราสาท Tuileries ที่เสียชีวิตในสงครามปฏิวัติของฝรั่งเศสระหว่างพระเจ้าหลุยห์ที่ 16 และนโปเลียน ในปี 1792 ส่วนที่มาที่ไปของ Lion of Lucerne ไปฟังคุณมดเล่าจากคลิปข้างล่างนี้เลยครับ
พวกเราก็ถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึกในการมาเยือน Lion of Lucerne
หลังจากนั้นคุณมดก็พาพวกเราไปเดินกันต่อที่ shopping street ของเมือง Lucerne ซึ่งก็มีร้านค้ามากมายให้เลือกซื้อกัน แล้วแต่กำลังทรัพย์และยอดฝากซื้อครับ
ที่นี่ไอศครีมไม่ได้มีกินกันทั้งปีเหมือนบ้านเรานะครับ ถ้าเมื่อไหร่ที่เห็นมีไอศครีมขายแสดงว่าเข้าสู่ฤดูร้อนแล้วจ้า
อีกไฮไลท์หนึ่งของเมือง Lucerne ก็คือสะพานไม้ Kapellbrücke ที่มีอายุเก่าแก่ทอดข้ามแม่น้ำ Reuss ในเมือง Lucerne โดยสะพานถูกสร้างขึ้นราวปี 1365 เพื่อเชื่อมระหว่างเมืองเก่า (ฝั่งขวาของแม่น้ำ) กับเมืองใหม่ (ฝั่งซ้ายของแม่น้ำ) และเพื่อเป็นการป้องกันเมืองจากทิศใต้ (หากข้าศึกโจมตีจากฝั่งทะเลสาป Lucerne) แรกเริ่มเดิมทีความยาวของสะพานอยู่ที่ 270 เมตร แต่เมื่อเวลาผ่านไปสองฝั่งแม่น้ำแคบลง ปัจจุบันความยาวของสะพานอยู่ที่ 204.7 เมตร ถือเป็นสะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
เราเดินข้ามฝั่งสะพานจากเมืองเก่ามาสู่เมืองใหม่ มีนักท่องเที่ยวเยอะพอสมควร
จริงๆ แล้วในเมือง Lucerne มีสะพานไม้อยู่ด้วยกันสามแห่งคือ Hofbrücke (ถูกทำลายไปแล้ว) และ Kapellbrücke ซึ่งถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 และอีกหนึ่งสะพานที่ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 คือ Spreuerbrücke ซึ่งทั้งสามสะพานจะถูกตกแต่งด้วยภาพวาดสามเหลี่ยมบริเวณจั่วของหลังคาสะพานที่ไม่เหมือนสะพานไม้ใดๆ ในยุโรป ภาพวาดเหล่านี้ถูกวาดขึ้นในศตวรรษที่ 17 โดยศิลปินคาธอลิกท่ีชื่อ Hans Heinrich Wägmann เป็นการนำเสนอเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ ในประวัติศาสตร์ของเมือง Lucerne แรกเริ่มเดิมทีภาพวาดทั้งหมดมีอยู่ 158 ภาพ และเหลืออยู่ 147 ภาพก่อนเหตุการณ์ไฟไหม้สะพานในปี 1993 หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้สะพานเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 1993 ไฟไหม้และทำลายภาพวาดไปถึง 2 ใน 3 เหลือภาพอยู่เพียง 47 ภาพเท่านั้น ตอนที่พวกเราเดินดูยังมีการนำภาพที่ถูกไฟไหม้มาติดไว้ที่เดิม เป็นเพียงแผ่นไม้ที่ถูกไฟไหม้สีดำๆ เท่านั้น ไม่เหลือภาพวาดอยู่แล้ว
หอคอยแปดเหลี่ยม (ที่อยู่ด้านหลังนั่นนะครับ อันข้างหน้านี้ไม่ใช่หอคอยนะ) ความสูง 34.5 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของสะพานมีชื่อเรียกว่า Wasserturm แปลว่า Water tower แต่ในความเป็นจริงแล้วหอคอยแห่งนี้ไม่ได้ทำหน้าที่อะไรเกี่ยวกับน้ำตามชื่อเลยครับ แต่ที่ถูกเรียกอย่างนั้นเพราะเป็นหอคอยที่ตั้งอยู่ในน้ำแค่นั้นเอง หอคอยแห่งนี้ในอดีตถูกใช้งานหลากหลายวัตถุประสงค์ เช่น เป็นที่คุมขังนักโทษ เป็นห้องทรมาน และเป็นห้องเก็บของของเทศบาลเมือง แต่ในปัจจุบันหอคอยแห่งนี้ถูกปิดไม่ได้อนุญาตให้ขึ้นไปชมได้ แต่ด้านล่างเปิดเป็นร้านขายของฝากให้กับนักท่องเที่ยว
ใน Reuss river หรือ Lake of Lucerne จะเห็นเจ้าตัวนี้ว่ายน้ำไปมาจนชินตาเลยครับ
หลังจากเดินเที่ยวกันจนถึงเวลาเที่ยงวัน เราก็ไปหาอะไรกินกันแบบง่ายๆ ก่อนขึ้นเรือไปนั่งรถไฟไต่เขากันต่อในตอนบ่าย
ลองไอศครีมที่นี่กันซักหน่อยซิ อืม ใช้ได้ๆ
เสร็จแล้วก็มานั่งรอขึ้นเรือกันที่ริมทะเลสาป
สงสัยเจ้าสองตัวนี้จะไม่เข้าใจป้าย เค้าห้ามว่ายน้ำนะ!!!!
มาแล้วเรือที่จะพาเราไปขึ้นรถไฟไต่เขา
ตั๋วขึ้นเรือ ได้มาแล้ว
แล้วเราก็ล่องเรือไปใน Lake of Lucerne
วิวสองฝั่งทะเลสาปสวยงามมากครับ
นั่งชมวิวกันชิลๆ อากาศกำลังดี
Lake of Lucerne เป็นทะเลสาปที่อยู่ตอนกลางของประเทศสวิทเซอร์แลนด์ ถือเป็นทะเลสาปที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของประเทศ มีความลึกในจุดที่ลึกที่สุด 214 เมตร พื้นที่โดยรวมของทะเลสาปประมาณ 114 ตารางกิโลเมตร
และนี่คือร Rigi Bahn ถไฟไต่เขาที่เราจะนั่งขึ้นสู่ Mt. Rigi
พร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเลย
Mt. Rigi จะต่างจาก Jungfrua และ Matterhorn ตรงที่ไม่มีหิมะนะครับ แต่วิวสองข้างทางก็สวยไม่แพ้กัน
และแล้วเราก็มาถึงสถานีปลายทาง ที่เห็นรถไฟสีฟ้าๆ นั่น จะเป็นขบวนที่เรานั่งตอนขาลงครับ
ทางเดินสู่ยอดเขาเป็นทางเดินสั้นๆ นะครับ แต่ก็มีให้เลือกสองทาง ทางซ้ายสำหรับคนหนุ่มสาวที่มีพละกำลังดีสามารถเดินเส้นทางชันๆ ได้ ส่วนทางขวาสำหรับผู้สูงอายุ ทางจะอ้อมหน่อยแต่ไม่ชัน ส่วนพวกเราถึงแม้จะยังไม่สูงอายุแต่เราก็เลือกทางขวาเพราะอยากชมวิวรอบๆ ยอดเขา และไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไร
นี่น่าจะเป็นดอก Dandelion แปลว่าฟันสิงโต จะพบเห็นเหลืองเต็มไปหมดบน Mt. Rigi สวยมาก ซึ่งดอกไม้ชนิดนี้เวลาดอกแก่จะเป็นช่อฟูๆ ขาวๆ ทรงกลม แบบที่เรามักเห็นในหนังหรือในการ์ตูนที่เด็กๆ ชอบเอามาเป่าเล่น แต่ในความจริงแล้วผมลองไปเป่าดู เฮ้ย!!! ทำไมเป่ายากจัง ไม่เห็นปลิวเหมือนในหนังหรือในการ์ตูนเลย เป่าจนหน้ามืดก็ยังไม่ค่อยปลิว
อันนี้เลยไปหลอกน้องมะลิมาเป่าให้เพราะอยากได้รูปสวยๆ น้องมะลิเป่าเก่งมาก (รูปนี้ถ่ายที่ Blausee)
ถ่ายรูปกับทุ่งดอกไม้กันสนุกสนาน
ดอกสีม่วงๆ นี่ก็มีเยอะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเรียกว่าอะไร
อากาศดีมากๆ เหมือนเมฆหมอกลอยผ่านหน้าไปเลยครับ
มองลงไปด้านล่างเห็นทะเลสาปใหญ่
ความสูงของ Mt. Rigi ประมาณเกือบ 1,800 เมตรจากระดับน้ำทะเล
รูปหมู่กันซักรูปบนความสูงเกือบพันแปดร้อยเมตร
บรรยากาศดี ถ่ายรูปสวย ได้แบ็คกราวด์คล้ายๆ ภาพวาดเลย
และนี่คือมุมมหาชน ใครมาก็ต้องถ่ายมุมน้ีกันครับ
อากาศดีจนไม่อยากกลับเลยครับ
Day 6: Colmar
การเดินทางในวันที่ 6 เราจะเดินทางไปยังเมืองเก่า Colmar ซึ่งตั้งอยู่ในฝรั่งเศสใกล้ๆ ชายแดนสวิทเซอแลนด์ โดยเดินทางจากบ้านคุณมดประมาณ 158 กิโลเมตร หรือเกือบ 2 ชั่วโมง ผ่านไปทางเมืองบาเซิล
ภาพแรกที่เราเห็นเมือง Colmar ครับ สัมผัสได้ถึงความเก่าของเมืองเลยครับ ทั้งรูปแบบสถาปัตยกรรมและสีสันของเมือง
ในการชมเมืองมีรถไฟจำลองพานั่งชมรอบเมืองด้วยนะครับ ค่าตั๋วจำไม่ได้เพราะรวมอยู่ในแพ็คเกจทัวร์ของคุณมดอยู่แล้ว ในรถไฟมีหูฟังบรรยายรายละเอียดของเมืองเวลารถวิ่งไปที่จุดต่างๆ เป็นหลายภาษาด้วยนะครับ แต่ไม่มีภาษาไทย เง้อ…. ไม่เป็นไรเพราะกะจะเน้นถ่ายรูปอยู่แล้ว ส่วนรายละเอียดค่อยไปค้นหากันทีหลัง
Colmar ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ Strasbourg บนแม่น้ำ Lauch River ที่ไปเชื่อมต่อกับแม่น้ำไรน์ทางทิศตะวันออก เมืองนี้ถูกก่อตั้งมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 และรอดพ้นจากสงครามโลกครั้งที่ 1 มาได้และยังคงสภาพบ้านเมืองแบบดั้งเดิมไว้ได้อย่างสมบูรณ์ รัฐบาลฝรั่งเศสจึงทำการอนุรักษ์เมืองนี้ไว้และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมชมมากมายในแต่ละปี
รถไฟพาเที่ยวจะวิ่งลัดเลาะไปยังจุดสำคัญๆ ของเมืองพร้อมบรรยายรายละเอียดให้ฟัง บ้านเรือนร้านค้าสวยงามแบบดั้งเดิมมากครับ
หลังจากลงจากรถไฟก็เป็นเวลาใกล้เที่ยง ก่อนไปกินข้าวเที่ยงคุณมดก็พาเราไปร้านขายชาที่อยู่ในเมืองเป็นชาแบบเบลนด์มีหลายหลายกลิ่นและรสให้เลือก ชื่อร้านผมก็อ่านไม่ถูกเหมือนกันว่าออกเสียงว่ายังไง Le Theier Collection
เช่นเคย ได้กันไปคนละแบบสองแบบและแต่ชอบ กลิ่นหอมมากครับ
มื้อเที่ยงก็พิซซ่าอีกแล้ว แต่ร้านนี้อร่อยดีนะครับ ชื่อร้านจำไม่ได้แต่ในร้านตกแต่งด้วยตุ๊กตาแม่มดเต็มไปหมดเลยครับ
หมุดนี้เห็นมีอยู่ทั่วเมือง เดาว่าเป็นตัวบอกทิศทางการเดินเที่ยวชมเมือง เดินไปตามทิศทางปลายสามเหลี่ยมของหมุดมั้ง (เราก็เดินมั่วๆ ไป เพราะเมืองไม่ได้ใหญ่มาก ไม่ต้องกลัวหลง)
ด้วยความที่เป็นเมืองเก่า ก็เลยมีมุมชิคๆ เก๋ๆ ให้ถ่ายรูปกันเพลินเลยครับ
St. Martin’s Church โบสถ์โรมันคาทอลิกขนาดใหญ่ที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบกอทิกตั้งอยู่ในเมือง Colmar โดยใช้เวลาก่อสร้างตั้งแต่ปี 1234 แล้วเสร็จในปี 1,365 มีขนาดหน้ากว้าง 34 เมตร ยาว 78 เมตร ความสูง 71 เมตร และในปี 1572 มีการก่อสร้างหอระฆังในแบบเรเนซองค์เพิ่มเติมหลังจากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้
Day 7 : Maison Cailler Chocolate Factory / Gruyeres / Lake Geneva
วันสุดท้ายของทริปเรา วันนี้เราจะไปกันหลายที่หน่อย เริ่มจากช่วงเช้าเดินทางจากบ้านคุณมดไปเที่ยวโรงงานช็อคโกแลต Maison Cailler เสร็จแล้วต่อด้วยปราสาท Gruyeres และช่วงบ่ายเดินทางไป Lake Geneva
จากบ้านคุณมดไปโรงงานช็อคโกแลต ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ กับระยะทางเกือบๆ 100 กิโลเมตร
เราได้คิวเข้าชมโรงงานคิวที่ 8
ระหว่างรอคิว ก็ถ่ายรูปหมู่กันืที่หน้าโรงงานซะหน่อย
ระหว่างที่ยังไม่ได้เข้าไปในโรงงานก็มีช็อคโกแลตให้เลือกซื้อเป็นของฝากมากมาย ซื้อเสร็จมีตู้ล็อกเกอร์ให้ฝากไว้ได้ก่อน ไม่ต้องหิ้วให้หนัก
และนี่คือ Audio guide เอาไว้ใช้ในพื้นที่ส่วนเข้าชมส่วนท่ี 2
ช่วงแรกเป็นการเล่าประวัติความเป็นมาของช็อคโกแลตในสวิสเซอร์แลนด์
มีการจำลองเหตุการณ์ต่างๆ ในประวัติศาสตร์ช็อคโกแลต
เข้าสู่ส่วนที่สองเป็นส่วนที่อธิบายถึงวัตถุดิบต่างๆ ที่จะใช้ในการทำช็อคโกแลต จะเห็นตรงใต้ชื่อจะมีกล่องเหลี่ยมๆ อยู่นะครับ ตรงนั้นเป็นจุดที่เราสามารถใช้ตัว Audio guide ไปแตะ เสร็จแล้วจะมีคำบรรยายดังออกมาจาก Audio guide เกี่ยวกับรายละเอียดของวัตถุดิบและที่มาให้เราฟังครับ
แตะแล้วก็ยกขึ้นมาฟังแนบหูได้เลยครับ
ในส่วนที่สองนี้จะเป็นการแสดงในส่วนของวัตถุดิบต่างๆ ที่ใช้ในการทำช็อคโกแลตและที่มา
ตรงส่วนสุดท้ายเป็นส่วนของการแสดงการทำช็อคโกแลตด้วยเครื่องจักรต่างๆ ซึ่งก็มีการทำมุมให้ถ่ายรูปกันเล่นๆ ด้วย
ที่สำคัญมีช็อคโกแลตให้ชิมได้ไม่อั้นอีกด้วย
ชิมกันไปจนแสบคอเลยทีเดียว มีให้ชิมเยอะมาก
จากโรงงานช็อคโกแลตเราเดินทางกันไปอีกประมาณ 15 นาที เพื่อไปเที่ยวปราสาท Gruyeres ที่ตั้งอยู่ไม่ห่างออกไปนักจากโรงงานช็อคโกแลต
Castle of Gruyeres นี้ถูกสร้างขึ้นในระหว่างปี 1270 ถึง 1282 และเป็นสมบัติของ Counts of Gruyères จนกระทั่งเกิดการล้มละลายของ Count Michel ในปี 1554 ก็มีการเปลี่ยนเจ้าของมาอีกหลายครั้ง ในปัจจุบันปราสาทแห่งนี้ได้ถูกจัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้
ก่อนถึงทางเข้าปราสาทมีพิพิธภัณฑ์ HR GIGGER ที่แสดงเกี่ยวกับเอเลี่ยนให้เข้าชมด้วยครับ (ดูไม่ค่อยจะเข้ากับปราสาทเลยเนอะ)
ถ่ายรูปกันที่ด้านข้างของปราสาท
ใกล้ปราสาทมีโบสถ์และสุสานอยู่ด้วยครับ มุมนี้วิวสวยดีครับ
เดินกันจนเหนื่อยก็มานั่งพักกันที่ข้างโบสถ์ มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาเย็นสบายดีครับ
หลังจากเดินเที่ยวเสร็จ เราก็ไปกินมื้อกลางวันกัน ที่ Gruyeres นี่ที่จริงขึ้นชื่อเรื่องซีสมากครับ มีอาหารแนะนำคือฟองดูว์ ชีส ที่ควรชิม แต่คุณมดบอกว่าส่วนใหญ่คนไทยจะไม่ชอบหรอก แต่ฝรั่งชอบ ตอนนแรกเราว่าจะลองกัน แต่เนื่องจากว่าเดินเที่ยวกันเพลิน ทำให้เวลากินเหลือน้อย ที่ร้านอาหารบอกว่าถ้าสั่งเมนูชีส คุณจะได้ช้านะ ซึ่งคำนวณดูแล้วน่าจะไม่ทันเวลาที่คุณมดนัดไว้ สุดท้ายเลยจบกันที่พิซซ่ากับสปาเกตตี้อีกครั้ง T__T
หลังจัดการมื้อเที่ยงกันเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทางจากปราสาท Gruyeres เพื่อไปยัง Lake Geneva ใช้เวลาเดินทางประมารณ 1 ชั่วโมง ช่วงที้เราไปเที่ยวเป็นช่วงที่กำลังเข้าสู่ฤดูร้อนพอดี ที่ Lake Geneva เราก็จะได้เห็นฝรั่งออกมารับแสดงแดดกันเยอะหน่อบย
ที่ Lake Geneva นี้ก็จะมีปราสาทอีกแห่งหนึ่งชื่อ Château de Chillon คล้ายๆ กับปราสาท Gruyeres แต่วัตถุประสงค์ของปราสาทนี้คือเพื่อใช้เป็นด่านหน้า (Outpost) มากกว่าการเป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งการครอบครองและใช้งานปราสาทแห่งนี้แบ่งได้เป็น 3 ช่วงเวลาคือ Savoy Period, the Bernese Period และ Vaudois Period ทำให้ปราสาทถูกใช้งานในลักษณะที่แตกต่างกันไป เช่น เป็นด่านควบคุมเส้นทาง เป็นท่าจอดเรือรบ เป็นที่คุมขังนักโทษ และเป็นคลังแสงที่ใช้เก็บอาวุธยุทธภัณฑ์ของทหาร
วันสุดท้ายของทริปแล้ว ถ่ายรูปหมู่กันที่หน้าปราสาทสักหน่อย
อีกมุมนึงของปราสาท Château de Chillon
มุมมหาชนอีกมุมนึงครับ
บรรยากาศริมทะเลสาปเจนีวา ก่อนขึ้นรถกลับบ้านกัน
หลังจากกลับจาก Lake Geneva พอรับประทานอาหารเย็นเสร็จ คุณมดพาเราปั่นจักรยานขึ้นไปบนเนินใกล้ๆ หมู่บ้านเพื่อดูพระอาทิตย์ตกเป็นการปิดท้ายทริปอย่างแท้จริง พร้อมกับเป็นการขายทริปปั่นจักรยานที่ทาง Modtrip จัดเป็นประจำทุกปี พระอาทิตย์ตกสวยมากครับ และผมก็เกิดกิเลสชักจะอยากมาทริปจักรยานตะหงิดๆ ซะแล้วสิ
Day 8 : Time to say good bye
ตอนเช้าผมติดใจปั่นจักรยานเมื่อวาน เลยแอบไปปั่นคนเดียวอีกรอบระยะทางสั้นๆ แต่วิวสวยและบรรยากาศดีมากเลยครับ
ปั่นจักรยานเสร็จมานั่งกินกาแฟแก้หนาวซะหน่อย ปกติเรานั่งรับประทานอาหารเช้าและเย็นร่วมกันตรงนี้แหล่ะครับ ง่ายๆ กันเองดี
ช่วงสายๆ เราก็กล่าวลาคุณมดและน้องมะลิก่อนออกเดินทางไปสนามบินซูริกกันโดยคุณสเตฟานจะเป็นคนไปส่งเราที่สนามบินครับ ขอบคุณมดและคุณสเตฟานมากๆ ที่ช่วยดูแลพวกเราอย่างดีตลอดทริปครับ หวังว่าจะได้กลับไปใช้บริการอีกครับ
จบแล้วครับยาวมาก พบกันใหม่กับเรื่องเล่าระหว่างทาง ในการเดินทางครั้งต่อไป