อัปสร ถือเป็นนางฟ้าจำพวกหนึ่ง แต่ไม่ใช่เทวี บังเกิดขึ้นเมื่อครั้งกวนเกษียรสมุทร เพื่อเอาน้ำอมฤตขึ้นมา ดังปรากฏในเนื้อเรื่องของมหากาพย์มหาภารตะ
คำว่า “อัปสร” นั้น มาจากคำว่า “อัป” (หมายถึง น้ำ) และ “สร” (หมายถึง การเคลื่อนไป) อัปสร จึงหมายถึง ผู้ที่เคลื่อนไปในน้ำ อันเป็นกำเนิดของนาง ทว่าโดยทั่วไป ถือว่านางเป็นชาวสวรรค์
ตำนานการกวนเกษียรสมุทรเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่พระอินทร์และพระชายาศจีออกท่องเที่ยวชมโลกมนุษย์ และได้พบกับมหาฤาษีทุรวาสผู้ได้รับพวงมาลัยสักการะมาพวงหนึ่ง แต่มหาฤาษีทุรวาสเห็นว่าตนนั้นไม่สมควรคล้องประดับด้วยดอกไม้หอม เมื่อได้พบกับพระอินทร์จึงได้มอบพวงมาลัยนั้นให้แก่พระอินทร์เพื่อเป็นของขวัญในการเยือนโลกมนุษย์ เมื่อพระอินทร์ได้รับพวงมาลัยมาก็ได้มอบให้แก่พระชายาศจีทันที แต่ด้วยกลิ่นอันหอมประหลาดของดอกไม้ทิพย์ในพวงมาลัยทำให้พระชายาศจีเกิดอาการมึนเมา จึงได้ทิ้งพวงมาลัยนั้นต่อหน้าต่อตามหาฤาษีทุรวาสทันที ทำให้มหาฤาษีทุรวาสเกิดความขุ่นเคืองเป็นอย่างยิ่ง และได้ทำการสาปแช่งพระอินทร์และบริวารให้อ่อนแรงแล้วพ่ายแพ้แก่เหล่าอสูรในเทวาสุรสงคราม แม้ว่าพระอินทร์จะพยายามอธิบายและขอร้องอย่างไร มหาฤาษีก็ไม่ผ่อนปรนและเดินจากไปทันที
หลังจากนั้นมาเหล่าเทวดาก็อ่อนกำลังลงตามฤทธิ์แห่งคำสาป และมิอาจต่อสู้กับเหล่าอสูรในเทวาสุรสงครามได้ พระอินทร์มิอาจทนเห็นเหล่าบริวารต้องล้มตายในสงคราม จำต้องสั่งถอนทัพ และไปขอให้พระพรหมช่วยพาไปเฝ้าพระนารายณ์เพื่อขอความช่วยเหลือ พระนารายณ์จึงทรงแนะนำว่าวิธีการเดียวที่จะทำให้เหล่าเทวดาฟื้นคืนกำลังได้คือการได้ดื่มน้ำอมฤติ ซึ่งจะทำให้มีกำลังวังชากลับคืนมาและเป็นอมตะ แต่การจะได้มาซึ่งน้ำอมฤตินั้นมิใช่เรื่องง่ายเพราะจะต้องผ่านการกวนเกษียรสมุทรและเหล่าเทวดาไม่อาจทำได้ฝ่ายเดียว ต้องอาศัยเหล่าอสูรมาร่วมกวนเกษียรสมุทรด้วยจึงจะมีกำลังมากพอที่จะทำได้
เหล่าเทวดาจึงออกอุบายโดยเกลี่ยกล่อมให้เหล่าอสูรมาร่วมกวนเกษียรสมุทรแล้วจะแบ่งน้ำอมฤติให้ครึ่งหนึ่ง ฝ่ายอสูรด้วยความอยากได้น้ำอมฤติจึงยอมตกลงมาช่วยกวนเกษียรสมุทร
ในการกวนเกษียรสมุทรนั้นเหล่าเทวดาและอสูรได้นำภูเขามันทรคีรีอันเป็นแหล่งกำเนิดของมณีนพรัตน์มาตั้งลงในทะเลน้ำนมแล้วช่วยกันเก็บหาสมุนไพรนานาชนิดจำนวนมหาศาลผสมลงในเกษียรสมุทรนั้น แล้วพระวิษณุได้มอบหมายให้จอมนาควาสุกรีเอาร่างกายมาพันรอบมันทรคีรีดั่งเชือกเพื่อให้อสูรและเทวดาดึงเพื่อให้มันทรคีรีหมุดกวนเกษียรสมุทร ทางฝั่งเทวดาได้ออกอุบายยกยอฝ่ายอสูรว่ามีพละกำลังมากมายควรได้รับเกียรติ์ให้อยู่ทางหัวของพญาวาสุกิ ส่วนเทวดาผู้มีกำลังน้อยกว่าควรอยู่ทางด้านหาง ข้างฝ่ายอสูรเมื่อได้ยินเช่นนั้นต่างลำพองใจหลงกลเข้าจับยึดชักทางด้านเศียรของพญาวาสุกิทันที ทั้งอสูรและเทวดาต่างช่วยกันชักดึงร่างของพญาวาสุกิอย่างเต็มกำลังเพื่อให้มันทรคีรีหมุนกวนสมุนไพรให้เข้ากับทะเลน้ำนม
การกวนเกษียรสมุทรใช้เวลาหลายร้อยปี พญาวาสุกรีผู้ใช้ร่างพันมันทรคีรีไว้ได้รับความทุกข์ทรมานมากเพราะร่างต้องถูกดึงและเสียดสีอยู่ตลอดเวลาจึงได้คายพิษและไฟกรดออกมาโดนเหล่าอสูรที่ชักดึงร่างอยู่ฝั่งเศียรของพญาวาสุกิทำให้ได้รับความทุกข์ทรมานและอ่อนแรงเช่นกัน ระหว่างการกวนเกษียรสมุทรก็ได้เกิดสิ่งวิเศษลอยขึ้นมา 14 อย่างคือ
- ดวงจันทร์
- แก้วเกาสตุภะ
- ดอกบัวซึ่งมีพระลักษมีเทวีประทับอยู่ในนั้น
- นางวารุณีเทวีแหล่งเหล้า
- ช้างเผือกเอราวัณ พระอินทร์ทรงรับไว้เป็นพาหนะประจำพระองค์
- ม้าอุจไจศรพ พระอินทร์ก็รับไว้เป็นพาหนะ
- ต้นปาริชาติอันมีดอกหอมมาก มีสรรพคุณสามารถระลึกชาติได้ ต้นไม้นี้ได้ล่องลอยขึ้นสู่สวรรค์
- โควิเศษนาม โคสุรภี หรือ กามเธนุ
- หริธนู
- สังข์
- เหล่านางอัปสรผู้เลอโฉม 35 ล้านตน
- พิษร้าย เหล่าอสรพิษรับไว้
- ธันวันตริผู้เป็นแพทย์สวรรค์ผุดขึ้นมาพร้อมสิ่งวิเศษลำดับที่ 14
- หม้อน้ำทิพย์อัมฤติ
ในตำนานการกวนเกษียรสมุทรนั้น ท้ายที่สุดแล้วเหล่าอสูรที่ถูกพิษของพญาวาสุกรีระหว่างกวนเกษียรสมุทรได้หลงกลร่างจำแลงของพระวิษณุทำให้ไม่ได้ดื่มน้ำอัมฤติแต่อย่างใด ยกเว้น พระราหูที่รู้ทันกลอุบายของพระวิษณุและได้จำแลงร่างเป็นพราห์มปะปนไปกับกลุ่มของเหล่าเทวดาจึงได้ดื่มน้ำอัมฤติและมีความเป็นอัมตะ ไม่มีวันตายตามเทวดาไป (ในส่วนของรายละเอียดลึกๆ เกี่ยวกับตำนานกวนเกษียรสมุทรเดี๋ยวแนบลิงค์ของบทความที่คุณ Hathairat2011 ที่เขียนไว้โดยละเอียดไว้ให้นะครับ)
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=murder-serialkiller&date=16-10-2014&group=3&gblog=14
ส่วนเหล่านางอัปสรทั้ง 35 ล้านตนนั้น ไม่มีเหล่าเทวดาหรืออสูรตนใดรับไว้เลย จึงต้องตกเป็นของกลางของสวรรค์ไม่มีผู้ใดได้ครอบครอง สำหรับจำนวนรูปสลักนางอัปสรในนครวัดปัจจุบันนับได้ราว 1,800 รูป มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปทั้งเครื่องแต่งกาย รูปลักษณ์และท่าทาง